Translate

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์ [Data Center Hyperscale]

 ไฮเปอร์สเกลดาต้าเซ็นเตอร์ (Hyperscale Data Center) คือ ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ การประมวลผลขนาดมหาศาล, การจัดเก็บข้อมูลจำนวนมาก, และ การขยายระบบแบบอัตโนมัติ (scalable) อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการให้บริการในระดับโลก เช่น Cloud, AI, IoT, Big Data และ Streaming โดยผู้ให้บริการหลัก เช่น Amazon (AWS), Microsoft (Azure), Google (GCP), Meta, Alibaba และ Tencent เป็นต้น

✅ คุณลักษณะเด่นของ Hyperscale Data Center

หัวข้อหลักรายละเอียด
ขนาดมีพื้นที่มากกว่า 10,000 ตารางฟุตขึ้นไป (บางแห่งมีขนาดระดับหลายหมื่นถึงแสนตารางฟุต) และติดตั้งเซิร์ฟเวอร์หลายหมื่นถึงหลักแสนเครื่อง
การขยายตัว (Scalability)รองรับการเพิ่มทรัพยากรได้อย่างรวดเร็ว เช่น เพิ่ม server rack ได้โดยไม่หยุดการทำงาน
Automation & Orchestrationใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติ เช่น Software-defined everything (SDx), DevOps tools
พลังงาน (Power)ใช้พลังงานหลายร้อยเมกะวัตต์ (MW) พร้อมระบบ Redundant Power Tier (เช่น N+1, 2N)
การออกแบบแบบมาตรฐานใช้ Modular Design หรือ POD-based architecture เพื่อความรวดเร็วในการติดตั้ง/บำรุงรักษา
ประสิทธิภาพพลังงาน (PUE)ต้องมี PUE ต่ำ เช่น 1.1 - 1.3 เพื่อประหยัดพลังงาน
การเชื่อมต่อเครือข่าย (Network)มี Bandwidth สูงมาก เชื่อมต่อกับ IX และ Carrier ต่างๆ โดยตรง
ความปลอดภัย (Security)ได้รับมาตรฐานสูง เช่น ISO 27001, SOC 2, PCI DSS และระบบ Physical Security ระดับสูง

✅ เปรียบเทียบ Hyperscale DC กับ Traditional DC

คุณลักษณะHyperscale DCTraditional DC
ขนาดใหญ่มากขนาดเล็กถึงกลาง
การขยายตัวอัตโนมัติและรวดเร็วมักต้องวางแผนล่วงหน้า
ระบบบริหารจัดการใช้ AI/AutomationManual หรือกึ่งอัตโนมัติ
ผู้ใช้งานหลักCloud Providersองค์กรทั่วไป, Enterprise
ต้นทุนคุ้มค่าเมื่อใช้ในขนาดใหญ่ต้นทุนสูงต่อหน่วย

✅ ตัวอย่าง Hyperscale DC ระดับโลก

  • Amazon US-East (North Virginia) – หนึ่งใน Region ที่ใหญ่ที่สุดของ AWS

  • Google BKK33 (ประเทศไทย) – เป็น PoP หรือ Cloud Region ที่มีมาตรฐาน Hyperscale

  • Microsoft Azure Data Center (สิงคโปร์, ฮ่องกง) – รองรับบริการ Azure, M365, Dynamics


✅ เหตุผลที่องค์กรขนาดใหญ่เลือก Hyperscale DC

  1. รองรับ Workload ปริมาณมหาศาล

  2. รองรับ AI Training & Machine Learning

  3. เพิ่ม/ลดทรัพยากรได้อัตโนมัติ (Elasticity)

  4. ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยถูกลง

  5. ตอบโจทย์การขยายธุรกิจทั่วโลก

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

[Datacenter] การประเมินการติดตั้งอุปกรณ์ภายในตู้ Rack

 [Datacenter] การประเมินการติดตั้งอุปกรณ์ภายในตู้ Rack

กระบวนการวางแผนและวิเคราะห์ก่อนการติดตั้งอุปกรณ์ไอทีต่างๆ ในตู้ Rack เพื่อให้แน่ใจว่าการติดตั้งเป็นไปอย่างเหมาะสม ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยปัจจัยที่พิจารณามักประกอบด้วย:


  1. น้ำหนักและความจุของตู้ Rack

    • ตรวจสอบว่าน้ำหนักรวมของอุปกรณ์ไม่เกินขีดจำกัดที่ตู้สามารถรองรับได้
    • พิจารณาจุดยึดและการกระจายน้ำหนักอย่างเหมาะสม
  2. การจัดการพลังงาน (Power Management)

    • คำนวณความต้องการพลังงานของอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อเลือก PDU (Power Distribution Unit) ที่เหมาะสม
    • ตรวจสอบว่าแหล่งจ่ายไฟสำรอง (UPS) มีความจุเพียงพอ
  3. การจัดการความร้อน (Thermal Management)

    • ประเมินความร้อนที่เกิดจากอุปกรณ์ในตู้
    • จัดวางอุปกรณ์ตามแนวทางการไหลเวียนของอากาศ (เช่น Hot Aisle/Cold Aisle)
    • ติดตั้งพัดลมระบายความร้อนหรืออุปกรณ์เสริมที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิ
  4. การจัดสายสัญญาณ (Cable Management)

    • วางแผนเส้นทางสายสัญญาณเพื่อป้องกันการพันกันหรือความเสียหาย
    • ใช้ถาดสายและอุปกรณ์จัดการสายเพื่อความเรียบร้อย
  5. ความเข้ากันได้ของอุปกรณ์

    • ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ทั้งหมดมีขนาด (เช่น 1U, 2U) ที่เหมาะสมกับตู้
    • พิจารณา Compatibility ระหว่างอุปกรณ์
  6. มาตรฐานและความปลอดภัย

    • ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น ANSI/EIA-310-D, IEC 60297
    • ประเมินความปลอดภัย เช่น การป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและการรองรับเหตุฉุกเฉิน

การประเมินเหล่านี้ช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังการติดตั้ง และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบโดยรวม

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2567

AI หรือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)

 AI หรือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)

เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานโดยต้องใช้ความสามารถเชิงปัญญาคล้ายกับมนุษย์ เช่น การเรียนรู้ การแก้ปัญหา การรับรู้ การเข้าใจภาษา และการตัดสินใจ




AI ถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก:

  1. AI เฉพาะทาง (Narrow AI): เป็น AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานเฉพาะเจาะจง เช่น ระบบการรู้จำเสียง ระบบแนะนำสินค้า หรือระบบวินิจฉัยโรค
  2. AI ทั่วไป (General AI): เป็น AI ที่มีความสามารถในการทำงานและตัดสินใจได้หลากหลายเหมือนกับมนุษย์ แต่ปัจจุบันยังไม่มีระบบ AI ที่สามารถทำได้ถึงระดับนี้

การทำงานของ AI สามารถแบ่งออกเป็นหลายๆ ด้าน เช่น

  • การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning): เป็นการใช้ข้อมูลในการฝึกฝนโมเดลเพื่อให้ระบบสามารถทำนายหรือตัดสินใจได้
  • การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing, NLP): เป็นการให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและสร้างภาษามนุษย์
  • ระบบวิชัน (Computer Vision): เป็นการให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและวิเคราะห์ภาพหรือวิดีโอ
  • การวางแผนและการตัดสินใจ (Planning and Decision Making): เป็นการให้คอมพิวเตอร์สามารถตัดสินใจในการทำงานต่างๆ ได้

AI มีการนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ การเงิน การขนส่ง การผลิต และการบริการ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ





วันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2566

Datacenter คืออะไร?

 Datacenter (ศูนย์ข้อมูล) เป็นสถานที่ที่รวมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายที่ใช้ในการเก็บรักษาข้อมูลและดำเนินการคำนวณขององค์กรหรือองค์กรอื่น ๆ ศูนย์ข้อมูลมักจะมีคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่รวมกันเป็นระบบ เครือข่ายเพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลและการทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ



Datacenter มักจะมีอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นเซิร์ฟเวอร์, เครือข่าย, ระบบจัดเก็บข้อมูล (storage), และระบบรักษาความปลอดภัย เป็นต้น เครื่องแม่ข่ายและอุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้ใน Datacenter มักจะมีการกำหนดค่าและการจัดการอย่างเป็นระบบเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างเสถียรและเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ



Datacenter เป็นสถานที่ที่สำคัญสำหรับองค์กรหรือธุรกิจที่มีการใช้งานเทคโนโลยีสูง ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาข้อมูลสำคัญและระบบสำคัญ นอกจากนี้ยังมีบริการ Datacenter ที่ให้บริการแก่ลูกค้าภายนอกเพื่อให้การเก็บรักษาข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ในลักษณะเช่าเป็นบริการ (Infrastructure as a Service หรือ IaaS) หรือสำหรับการใช้พื้นที่สำหรับเซิร์ฟเวอร์ (Co-location Service) อีกด้วย




Datacenter มีประโยชน์หลายอย่างสำหรับองค์กรหรือธุรกิจ ดังนี้:

1. เก็บรักษาข้อมูล: Datacenter ช่วยในการเก็บรักษาข้อมูลที่สำคัญและมีความสำคัญสำหรับธุรกิจ ซึ่งรวมถึงข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลการเงิน, รายงานการวิเคราะห์, และข้อมูลอื่น ๆ การเก็บรักษาข้อมูลใน Datacenter ช่วยให้ข้อมูลปลอดภัยและสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา และรองรับการสำรองข้อมูลและการกู้คืนภายในกรณีเกิดภัยพิบัติหรือความผิดพลาดระบบ


2. ความเสถียรและการดำเนินงานต่อเนื่อง: Datacenter มีโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงและเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่สำคัญอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้ตลอดเวลาโดยไม่มีการหยุดชะงักหรือสูญเสียข้อมูล การสำรองข้อมูลและระบบความเสถียรใน Datacenter ยังช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากอุบัติเหตุเช่นไฟฟ้าดับหรือภัยพิบัติอื่น ๆ


3. การเร่งความเร็วและประสิทธิภาพ: Datacenter มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงและเครือข่ายที่รวดเร็ว เมื่อธุรกิจมีความต้องการในการประมวลผลข้อมูลที่มากขึ้นหรือการเชื่อมต่อที่ซับซ้อนมาก




การเลือกใช้ Datacenter นั้นเป็นเรื่องสำคัญสำหรับธุรกิจหรือองค์กร เนื่องจากมีผลต่อประสิทธิภาพและความเสถียรของระบบเทคโนโลยีที่ใช้งาน ดังนั้นควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ก่อนที่จะเลือกใช้ Datacenter ดังนี้:

1. ความเสถียรของบริการ: ตรวจสอบความเสถียรและความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ Datacenter โดยดูที่ประสิทธิภาพในการดำเนินการและการบำรุงรักษาระบบ รวมถึงมาตรการที่มีในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและการสำรองข้อมูล

2. ประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น: ตรวจสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ใช้ใน Datacenter ว่ามีความสามารถในการรองรับการประมวลผลและการเชื่อมต่อที่ต้องการของธุรกิจหรือไม่ และยังควรพิจารณาถึงความยืดหยุ่นในการปรับปรุงและขยายขนาดของระบบในอนาคต

3. ความปลอดภัย: ตรวจสอบระบบความปลอดภัยที่มีอยู่ใน Datacenter เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลของธุรกิจจะได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม รวมถึงมีการสำรองข้อมูลและมีการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลที่เข้มงวด

4. ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์: พิจารณาตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของ Datacenter

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

บริการ MA กับ PM แตกต่างกันอย่างไร ?

  


  บริการ Maintenance Agreement คือ บริการดูแลและบำรุงรักษา เครื่องคอมพิวเตอร์ PC และ Laptop อุปกรณ์เครือข่าย (Network Device) เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) เครื่องลูกข่าย (Client หรือ Workstation) ตลอดจนระบบโปรแกรมใช้งานต่างๆ (Application Software) ให้อยู่ในสถานะพร้อมใช้งานตลอดเวลา

นอกจากนี้การให้บริการ MA ยังรวมไปถึงการให้คำปรึกษาแนะนำกับผู้ใช้งานเกี่ยวกับการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆในระบบเครือข่าย ให้ถูกต้องและปลอดภัยจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆซึ่งอาจก่อปัญหาได้ เช่น Virus Computer เป็นต้น

เหตุผลที่ควรมี  MA

  • พนักงานบริษัทใช้งานโปรแกรมไม่เป็น
  • กรณีที่ซื้อโปรแกรมแกรมมาแล้วแต่ใช้งานไม่ได้
  • ไม่มีความรู้เรื่อง server หรือความรู้เรื่อง Network
  • Upgrade Version ของ Software เพื่อให้โปรแกรมทันสมัยไม่เป็น
  • บริษัทไม่มีทีมพัฒนา Application Software เป็นของตัวเอง


บริการ Preventive Maintenance (PM) คือ การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน โดยการวางแผนเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่หรือการซ่อมแซมชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องจักรหลังการใช้งานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เพื่อเป็นการตรวจสอบความเสียหายเบื้องต้นและยืดเวลาการใช้งานของเครื่องจักรให้นานมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีความจำเป็นอย่างย่ิงสำหรับผู้ประกอบการทั้งหลาย เพราะนอกจากจะช่วยลดปัญหาความขัดข้องระหว่างการผลิตได้อย่างแม่นยำแล้ว ยังทำให้สามารถผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกเช่นกัน

ตามหลักทั่วไป การป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้านั้นถือว่าดีกว่าอยู่แล้ว การบำรุงรักษาเชิงป้องกันช่วยลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดโดยการส่งเสริมประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ดีที่สุด รายการต่อไปนี้แสดงถึงวิธีการบางประการที่ทีมดูและทรัพย์สินและฝ่ายซ่อมบำรุงสามารถอยู่เหนือการบำรุงรักษาเชิงป้องกันในแผนกของตน

  • กำหนดเวลาและดำเนินการตรวจสอบอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ
  • ทำความเครื่องจักรและทรัพย์สินเป็นประจำ
  • หล่อลื่นชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวเพื่อลดการสึกหรอ
  • ปรับการควบคุมประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีที่สุด
  • ซ่อมแซมและเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ชำรุด
  • ดูแลน้ำมันหล่อลื่นให้สะอาดอยู่เสมอ


วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ระบบ ISDN PRI E1, PSTN , SIP คือ ?

 ระบบ ISDN PRI E1 , PSTN , SIP คือ ?

สายนอก (Trunk or CO) คือ คู่สายโทรศัพท์ที่มาจากผู้ให้บริการ NT,AIS,3BB เป็นต้น เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อกับระบบตู้สาขาโทรศัพท์ ซึ่งรูปแบบของสายนอก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด 

        1. PSTN หรือ สายทองแดง ( 1 Chanel : 1 Tel )

        2. E1 หรือ ISDN ( 1 Link = 30 Chanel + 100 Tel )

        3. SIP TRUNK (ไม่มีข้อจำกัดด้านคู่สาย)


PSTN (Public Switched Telephone Network) เดิมที PSTN สร้างขึ้นโดยใช้สัญญาณอะนาล็อกลอยตัวและสวิตช์บอร์ดที่ดำเนินการด้วยตนเอง แต่ถูกแทนที่ด้วยสวิตช์บอร์ดอัตโนมัติ




ISDN (Integrated Services Digital Network) PRI E1 นี้เป็นมาตรฐานของคู่สายโทรศัพท์ที่ใช้กันมาตั้งแต่ในอดีต

โดย Primary Rate Interface (PRI) นี้จะมีให้เลือกใช้งานอยู่ 2 มาตรฐานคือ แบบ T1, แบบ E1


แบบ T1 : จะมีแบนด์วิธ Bandwidth แต่ละช่องสัญญาณเท่ากับ 64-kbit/s และมีช่องสัญญาณ ทั้งหมด 23 ช่องสัญญาณหรือ 23 คู่สายนั่นเอง  มี Bandwidth ทั้งหมด 1.536 Mbit/s /1 วงจร ซึ่งปกติคู่สายแบบ T1 จะนิยมใช้กันในแถบโซนอเมริกา 


แบบ E1 :  จะมีแบนด์วิธ Bandwidth แต่ละช่องสัญญาณเท่ากับ 64-kbit/s และมีช่องสัญญาณทั้งหมด 30 ช่องสัญญาณ หรือ 30 คู่สายนั่นเอง  มี Bandwidth ทั้งหมด 2.048 Mbit/s /1 วงจร ซึ่งปกติคู่สายแบบ E1 จะนิยมใช้กันในแถบโซนยุโรป และในประเทศไทยก็ใช้ E1 นี้เป็นมาตรฐานการใช้งาน



คุณสมบัติเด่น (ISDN PRI E1) 

การคิดอัตราค่าใช้บริการราคาประหยัด สำหรับการโทรในพื้นที่ (02), ต่างจังหวัด, มือถือทุกเครือข่าย, แฟกซ์

เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ที่ต้องการใช้โทรศัพท์หลายเบอร์แต่ประหยัดคู่สาย (1 DTI = 30 วงจร ได้หมายเลขตรง 100 หมายเลข)

สามารถเรียกเข้าหมายเลขได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่าน Operator

มีหมายเลขตรงทุก Extension

สามารถใช้เลขหมายสวยเป็นเบอร์ operator ได้

หมายเลขเรียงต่อกันและมีเลขสวย ซึ่งง่ายต่อการจดจำและประชาสัมพันธ์

เป็นระบบ Digital ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวน และใช้เพียง 2 คู่สายภายใน

เมื่อโทรออกสามารถกำหนดให้แสดงเบอร์ตรงที่ปลายเพื่อความสะดวกในการติดต่อกลับในภายหลัง

ในกรณีใช้หัวเครื่อง Digital สามารถแสดงเลขหมายโทรเข้าได้



SIP TRUNK (Session Initiated Protocol Trunk) - การสนทนาด้วยเสียงผ่าน Internet ที่เรียกกันว่า VoIP คือการใช้ระบบเครือข่ายให้ทำงานในรูปแบบของเสียง สามารถพูดโต้ตอบกันได้ กรณีที่เป็น ADSL ทั่วไปจำเป็นต้องมี Server กลางสำหรับกำหนดการเชื่อมต่อ เช่น Skype DNS เป็นต้น  

SIP Trunk เปรียบเสมือนสายนอกในระบบเครือข่าย นำสัญญาณโดยเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถติดต่อกันโดยใช้หมายเลขอ้างอิงจากผู้ให้บริการ ในปัจจุบันแต่ละผู้ให้บริการยังไม่สามารถโทรข้ามกัน ผู้ใช้ SIP Trunk ด้วย SIP Provider เดียวกันสามารถโทรหากันได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย


คุณสมบัติเด่น (SIP Trunk)

คิดอัตราค่าใช้บริการในราคาประหยัด สำหรับการโทรในพื้นที่ (02), ต่างจังหวัด, มือถือทุกเครือข่าย, แฟกซ์

รองรับการกำหนดวงจรภายใน Trunk (Concurrent) และเลขหมายได้ตามความต้องการลูกค้า สามารถใช้งานได้เหมือนกับระบบโทรศัพท์พื้นฐานทั่วไป

ได้รับหมายเลขโทรศัพท์เช่นเดียวกับโทรศัพท์พื้นฐานตามพื้นที่ของการใช้งาน เช่น ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพจะได้รับหมายเลข 0-2XXX-XXXX หากอยู่ต่างจังหวัดก็จะได้รับหมายเลขโทรศัพท์ตามพื้นที่นั้น

สะดวกต่อการเพิ่มจำนวนคู่สายเพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้น

สามารถใช้เป็นวงจรสำรอง ในกรณีที่ระบบโทรศัพท์พื้นฐานไม่สามารถใช้งานได้

สามารถใช้ประโยชน์จาก IP Network ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

รองรับการทำงานร่วมกับวงจรอินเทอร์เน็ตทุกผู้เครือข่าย





*** เกร็ดความรู้  : ระบบโทรศัพท์แบบดั้งเดิม
    ระบบโทรศัพท์ที่พวกเราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ในองค์กร หน่วยงาน จะอาศัยอุปกรณ์ ที่เราเรียกกันว่า ตู้สาขาโทรศัพท์  PABX , PBX ( Private Automatic Branch eXchange , Private Branch eXchange ) ที่คอยทำหน้าที่เป็น switching ให้เราสามารถโอนไปมาหากัน ได้ เวลาที่เราต้องการโทรออก ก็คอยหาคู่สายว่างให้เราสามารถโทรได้ PABX ที่รองรับ line โทรศัพท์เยอะๆ ก็มีขนาดใหญ่(มากๆ) อยู่เหมือนกัน และต้องเดินส่วนเฉพาะสำหรับใช้งานระบบโทรศัพท์ แบบ 1 ต่อ 1 เช่นมี 1000 คู่สายภายใน ก็ต้องมี 1000 สาย เชื่อมต่อไปยังเครื่องโทรศัพท์



วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2565

Wifi 6 คือ ?

 Wifi 6 คือ ?


WiFi (Wi-Fi) เป็นมาตรฐาน LAN ไร้สาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ IEEE 802.11 สำหรับการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ

รุ่น/มาตรฐาน IEEE

Wi-Fi 6 (มาตรฐาน IEEE 802.11ax) >>> ความถี่ 2.4/5 GHz >>> Link Rate Max : 600–9608 Mbit/s

Wi-Fi 5 (มาตรฐาน IEEE 802.11ac) >>> ความถี่ 5 GHz >>> Link Rate Max : 433–6933 Mbit/s

Wi-Fi 4 (มาตรฐาน IEEE 802.11n) >>> ความถี่  2.4/5 GHz >>> Link Rate Max : 72–600 Mbit/s


ข้อดีของ WIFI6 : ความเร็วมากขึ้น

เนื่องจากแบนด์วิดธ์ที่เพิ่มขึ้นที่ Wi-Fi 6 จ่ายให้ สิ่งนี้กำลังทวีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากขนาดไฟล์ยังคงเพิ่มขึ้น

อย่างต่อเนื่องพร้อมกับความต้องการข้อมูลที่สูงขึ้นในการสตรีมวิดีโอคุณภาพสูงและการเล่นเกมออนไลน์ที่

ต้องใช้การสื่อสารอย่างหนัก การเล่นเกมแบบผู้เล่นหลายคนพร้อมกันขณะมีการสตรีม 

ต้องใช้แบนด์วิดธ์ขนาดใหญ่และการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้และเสถียร


แล้ว Wi-Fi 6 เร็วขึ้นขนาดไหน ?

9.6 Gbps คือระดับความเร็วสูงสุดของ Wi-Fi 6 ในช่องสัญญาณต่างๆ ในทางตรงกันข้าม Wi-Fi 5 นั้นมีระดับความเร็วสูงสุดที่ 3.5 Gbps



Wi-Fi 6 มีความหน่วงที่ต่ำลงได้ถึง 75% โดยสามารจัดการการรับส่งข้อมูลเครือข่ายจำนวนมากอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

สำหรับนักเล่นเกมแล้ว นั่นหมายถึงการดาวน์โหลดเกมที่เร็วขึ้น ความเร็วในการอัปโหลดที่ดีขึ้นในการสตรีมการเล่นเกม


อะไรที่ทำให้ Wi-Fi 6 เร็วขึ้น ?

เทคโนโลยี Orthogonal Frequency Division Multiple Access (OFDMA) OFDMA ทำงานโดยการแบ่งช่องสัญญาณเป็นคลื่นพาห์ย่อย

และอนุญาตให้รับส่งไปยังอุปกรณ์ปลายทางหลายจุดในเวลาเดียวกัน เราเตอร์ Wi-Fi 6 สามารถส่งสัญญาณต่างๆ ใ

นหน้าต่างรับส่งสัญญาณเดียวกันได้ ส่งผลให้เราเตอร์สามารถที่จะสื่อสารกับอุปกรณ์หลายชนิดได้ด้วยการส่งสัญญาณเพียงครั้งเดียว

แทนที่จะต้องรอให้ถึงรอบของแต่ละอุปกรณ์เนื่องจากเราเตอร์รับส่งข้อมูลให้ทั่วทั้งเครือข่าย


เทคโนโลยี Beamforming เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ Wi-Fi 6 ปรับปรุงเพื่อให้ได้ความเร็วที่สูงขึ้น วิธีการส่งข้อมูลที่สุดล้ำสมัยนี้จริง ๆ 

แล้วทำได้ค่อนข้างง่าย แทนที่จะกระจายข้อมูลไปในทุกทิศทาง เราเตอร์จะตรวจจับตำแหน่งที่อุปกรณ์ที่ร้องขอข้อมูลอยู่และ

ส่งกระแสข้อมูลที่ถูกแปลงไปมากขึ้นในทิศทางนั้น